เทศน์บนศาลา

ผู้มีสัตย์

๑๒ ก.ย. ๒๕๕๖

 

ผู้มีสัตย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แล้วไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ฉะนั้น ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือการแก้การเกิดและการตาย การเกิดและการตายนี้เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง

เราเป็นชาวพุทธไง เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีการเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรารู้ถึงการเกิด แต่การตายนี่เราไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นวันตาย เห็นไหม การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย และการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ในมหายานเขาบอกนะ สิ่งที่เป็นความสำคัญที่สุดคือการเกิดและการตาย ต้องแก้ปัญหาการเกิดและการตายให้จบสิ้นลงได้ เราถึงจะมีเวลาปล่อยวางได้ แต่ถ้าใครยังแก้การเกิดและการตายไม่จบสิ้น เขาจะไม่ยอมวางความเห็นของเขาเลย ฝ่ายมหายานเขาจะสนใจตรงนี้มาก

ฉะนั้น เวลาฝ่ายปฏิบัติเรา เห็นไหม เวลาองค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมีความเชื่อมั่นของท่าน ท่านมีความเชื่อมั่นของท่านว่าท่านต้องฟันฝ่าสิ่งนี้ไปให้ได้ ฉะนั้น การฟันฝ่าสิ่งนี้ไปให้ได้ หลวงปู่เสาร์ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านค้นคว้าของท่าน ท่านหาทางออกของท่าน แล้วท่านเอาหลวงปู่มั่นมาบวช เวลาท่านออกธุดงค์ด้วยกันนะ หลวงปู่เสาร์ท่านพาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์

เวลาพาหลวงปู่มั่นออกไปธุดงค์ สิ่งที่ต้องค้นคว้าอยู่ในป่าในเขา เวลาออกธุดงค์ไป ธุดงค์ไปที่ไหนล่ะ? ธุดงค์ไปในที่สงัด ในที่วิเวก ในที่สงัด ในที่วิเวกท่านไปทำไมของท่าน? ท่านไปค้นคว้าหาตัวความเป็นจริงของท่าน

เวลาหลวงปู่มั่นท่านมาสอนลูกศิษย์ลูกหา เห็นไหม จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวเกิด เที่ยวแก่ เที่ยวเจ็บ เที่ยวตาย จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวไปในวัฏฏะ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว ฉะนั้น เวลาจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ท่านพาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์ ออกไปค้นคว้าหาไอ้ตัวจิตตัวนี้ ไอ้จิตตัวนี้มันอยู่ที่ไหน จิตตัวนี้มันอยู่ที่ไหน

เรามีการศึกษามาเราก็เข้าใจของเรา เราเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเทียบเคียงเอาของเราไง ด้วยความซื่อ คนบอกว่ามีความซื่อ มีความซื่อตรง ถ้ามีความซื่อตรง ซื่อตรงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเชื่อมั่นสัจธรรมอันนั้น มีความซื่อตรงไง แต่ความซื่อตรงมันซื่อเซ่อ ถ้ามันเซ่อขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ กิเลสมันครอบงำ อวิชชาคือความไม่รู้ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่รู้ได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ขึ้นมามันได้วุฒิมาได้อย่างไร

เวลาได้วุฒิมา เห็นไหม นี่มีการศึกษา มอบวุฒิบัตรกัน มอบความรู้ความสามารถ การันตีว่ามีความรู้ความสามารถจริง เพราะต้องสอบไง เวลาสอบผ่านระดับไหนก็มีความรู้ความสามารถแบบนั้น นี่ซื่อเซ่อ มีความซื่อตรงกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราพูดกัน เห็นไหม “พุทธพจน์ๆ เราต้องเคารพนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะโต้แย้งไม่ได้ ใครจะโต้แย้งไม่ได้” นี่เพราะมันซื่ออย่างนั้นเลย อวิชชาความไม่รู้มันถึงขี่หัวเอาไง เพราะความขี่หัวเอา เราถึงซื่อเซ่อ ซื่อโง่ โง่อะไร? โง่กับอวิชชา โง่กับความไม่รู้ของตัวเอง ทั้งๆ ที่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่เพราะอะไรล่ะ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์

แต่หลวงปู่เสาร์ท่านพาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์ หลวงปู่เสาร์ท่านก็ปฏิบัติของท่านไปด้วย แล้วท่านก็เอาหลวงปู่มั่นออกประพฤติปฏิบัติ แล้วประพฤติปฏิบัติแล้วมีการศึกษาไหม หลวงปู่เสาร์ท่านเป็นเจ้าอาวาสนะ พระที่จะเป็นเจ้าอาวาสได้ต้องมีวุฒิภาวะถึงจะเป็นผู้ปกครองได้ ถ้าผู้ปกครองได้ พระไตรปิฎก ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีใครบ้างไม่ศึกษามา ศึกษามาทั้งนั้นแหละ พอศึกษามาขนาดไหนแล้ว แต่ในเมื่อเป็นปริยัติ ในเมื่อภาคปฏิบัติมันยังไม่เกิดขึ้น ถ้าภาคปฏิบัติมันยังไม่เกิดขึ้น มันจะมีความรู้ความจริงมาจากไหน

ถ้าไม่มีความรู้ความจริงมาจากไหน แต่มันมีความมุ่งมั่น มีความมุ่งมั่นจะออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ด้วยอำนาจวาสนาของตัว ด้วยอำนาจวาสนาของหลวงปู่มั่น นี่พากันออกประพฤติปฏิบัติ ออกประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ท่านถึงมาสอนพวกเราไง ท่านมาวางข้อวัตรปฏิบัติให้เราฝึกหัดขึ้นมา ฝึกหัดเพื่ออะไร ถ้าวางข้อวัตรปฏิบัติมาก็เพื่อให้เราค้นคว้าเรื่องหัวใจของเราไง

ความสำคัญที่สุดคือการเกิดและการตาย เราก็รู้อยู่ว่าการเกิดและการตาย การเกิด เกิดมาเป็นเราแล้ว แต่การตายจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ฉะนั้น จะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ตายไปแล้วมันจะตายไปด้วยจิตที่มันกอบโกยเอาสิ่งใดไป จิตนี้มันจะกอบโกยเอาสิ่งใดเป็นสมบัติของมัน ถ้าจิตนี้มันโกย เห็นไหม มันโกยมรรคโกยผล ถ้าโกยมรรคโกยผลขึ้นมาโดยสัจจะความจริงขึ้นมา มันจะมีความจริงขึ้นมา

เวลาผู้ที่มีความจริง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านพูดแสดงธรรมออกมา มันมีความจริงในใจนั้นออกมาไง ถ้าไม่มีความจริงในใจนั้นออกมา เห็นไหม เราฟังแล้วมันมีความสัตย์ ผู้มีสัตย์ ผู้มีสัจจะนะ พูดคำไหนคำนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอกํ นาม กิํ พูดคำหนึ่งไม่มีสอง คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์สิ่งใดต้องเป็นแบบนั้น

สิ่งที่เป็นความจริง ถ้าไม่เป็นประโยชน์ท่านจะไม่พูดเลย สิ่งที่เป็นจริง แล้วต้องมีประโยชน์กับบุคคลฟังด้วยท่านถึงจะพูดออกมา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอกํ นาม กิํ หนึ่งเดียวเท่านั้น พูดหนึ่งเดียวไม่มีสอง พูดชัดเจนถูกต้องดีงามไปหมดเลย

นี่เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพูดก็มีสัจธรรมในน้ำเสียงของท่าน นี่ไง ผู้มีสัตย์ๆ ผู้มีสัตย์ มีสัจจะ อริยสัจจะในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของท่านมา ฉะนั้น ท่านวางข้อวัตรมาด้วยความเมตตานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้จะรื้อสัตว์ขนสัตว์

ขณะที่ท่านดำรงชีวิตอยู่ ท่านรื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านไปเทศนาว่าการ ท่านไปโปรดสัตว์ ท่านไปขนเอาเลย ใครมีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนามาจากไหน? มาจากบารมีธรรมในใจอันนั้น ถ้าธรรมในใจดวงนั้นมีโอกาสขึ้นมา ท่านแสดงธรรมๆ ไป คนคนนั้นได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะแทงเข้าไปในหัวใจ

เห็นไหม องคุลิมาล “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอไม่หยุด”

นี่มันแตกต่าง แตกต่างด้วยกิริยา กิริยาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ องคุลิมาลขนาดว่าเป็นผู้ที่เลิศในความเร็ว ถ้าองคุลิมาลจะวิ่ง ม้าตัวไหนก็หนีพ้นจากการวิ่งขององคุลิมาลไม่ได้ เขามีความภูมิใจ มีความมั่นใจว่าใครก็แล้วแต่มาอยู่ในคลองสายตาของเขา ถ้าเขาจะฆ่า เขาจะเอานิ้วมานับจำนวนให้ได้ ๑,๐๐๐ นิ้ว เขาทำได้ทั้งนั้นแหละ เขามีความอหังการมาก ขณะที่สมณะ สมณะไปด้วยฤทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ เขาแข่งขันอย่างไรเขาก็ตามทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ นี่เป็นสัจจะ สัจจะความจริงไง

นี่สัจจะ ซื่อ สัจจะความจริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ จับต้องได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเขาจะวิ่งไล่ใคร ไม่มีใครจะหนีพ้นจากฝีเท้าเขาไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วยฤทธิ์ “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน” นี่มันไปโดยทางเดียวไง สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง นี่คนซื่อ คนซื่อแล้วเซ่อ โดนอาจารย์ของตัวหลอก อาจารย์ของตัวหลอกเพราะอะไร

เพราะว่าอาจารย์ของตัว ในสังคมเขามีมารยาทสังคม ในเมื่อตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนวิชาการต่างๆ ก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงนี้เสียหายไป ด้วยความที่โดนลูกศิษย์ยุแหย่ให้มองพระองคุลิมาลผิดไป แล้วจะวางแผนจะทำลายองคุลิมาล ด้วยความเป็นอาจารย์ของเขา นี่ความซื่อของเขาด้วยกิเลสครอบงำ ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ด้วยความลำเอียง หลอกให้พระองคุลิมาลไปทำแบบนั้นด้วยยืมมือของทางราชการเพื่อมาฆ่าองคุลิมาล

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นอำนาจวาสนา เวลาไปโดยฤทธิ์

“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด”

เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะเทศนาว่าการ ท่านจะแก้คน ท่านต้องแก้คนแบบว่าคนที่ว่าป้องกันตัวไม่ได้ แต่พวกเรานี่ด้วยความซื่อไง ซื่อใสในกิเลสไง ไร้เดียงสาให้กิเลสมันขี่หัวเอาไง เวลาพูดธรรมะกันปากเปียกปากแฉะ เถียงกันไม่ตกฟาก นี่ไง มันเถียงกันโดยโลกไง เถียงกันด้วยทิฏฐิมานะ เถียงกันด้วยความเห็นผิด

เวลาพระองคุลิมาลเขาก็บอก “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน” นั่นเขาก็ซื่อ เขาไม่รู้ทันความคิดของเขา แต่มันเป็นความจริง ความจริงเพราะเขาวิ่งอยู่ มันไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “เราหยุดแล้ว แต่เธอไม่หยุด”

พอเราหยุดแล้ว แต่เธอไม่หยุด องคุลิมาลสะอึกเลย เราหยุดแล้ว แต่เธอไม่หยุด

หยุดอะไร ไม่หยุดอะไร หยุดอะไร

เราหยุดทำความชั่วทุกๆ อย่าง เธอต้องปรารถนาวิชาการ ปรารถนาสิ่งที่อาจารย์บอกว่าจะได้นิ้วมาพันนิ้วแล้วจะให้วิชาการ นี่ด้วยความซื่ออยากได้อันนั้น เห็นไหม ด้วยความซื่อเซ่อ ซื่อโง่ ไม่มีปัญญา ไม่เฉลียวใจ เวลาฟังเขามาก็ด้วยความเชื่อ ด้วยความซื่อ แต่ไม่เฉลียว ไม่ได้คิดแย้ง ไม่ได้คิดโต้แย้ง นี่มันไปโดยสัญชาตญาณ ไปโดยความซื่อของตัว

“เราหยุด เธอต่างหากไม่หยุด”

เราหยุดทำความชั่ว เราหยุดหมด หยุดหมด หยุดเพราะอะไร หยุดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา

หยุดทำความชั่ว หยุดทั้งหมด แต่เธอไม่หยุด เห็นไหม นี่ด้วยความเศร้าใจ วางดาบ ขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ขอบวชนะ ขอบวชคือยังไม่ได้สิ่งใดเลย ยังไม่ได้สิ่งใดเลย ขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชมาแล้วสั่งสอนๆ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์สอนองคุลิมาลให้ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วคนมันจะทำความสงบของใจได้ไหม ฆ่าคนมา ๙๙๙ คน แล้วจะทำความสงบของใจเข้ามาอย่างไร มันจะมีสิ่งใดบ้างที่ตามมารบกวน ตามมารบเร้าในใจองคุลิมาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามแนะนำสั่งสอนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

ถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วออกไปบิณฑบาต เขาจะยิงนก ตกปลาเท่าไร สิ่งนั้นจะมาโดนหัวองคุลิมาล โดนหัวองคุลิมาล องคุลิมาลไปรำพึงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เลือดออกอีกแล้ว วันนี้เลือดออกอีกแล้ว”

“องคุลิมาล เธอแค่เลือดตกยางออกนะ แต่ที่เธอทำ เธอเอาชีวิตเขาไปหมดนะ ชีวิต ๙๙๙ ชีวิต เธอได้ทำลายมาหมด แค่สิ่งเศษกรรมที่มันมากระทบ เห็นไหม”

เพราะองคุลิมาลเป็นพระอรหันต์ ไปบิณฑบาตที่ไหนเขาจะกลัว เพราะชื่อเสียงมันร่ำลือไปมาก นี่เพราะอะไรล่ะ เพราะซื่อไง เพราะซื่อ ซื่อไม่เฉลียว ซื่อแล้วไม่เฉลียวใจ ไม่ได้คิดโต้แย้ง ไม่ได้มีปัญญา เห็นไหม ซื่อมันต้องฉลาด ถ้าฉลาดนะ ซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ซื่อสัตย์ทุจริต ซื่อสัตย์มีทุจริตด้วยหรือ

ซื่อสัตย์ทุจริต เห็นไหม ซื่อ เรื่องของโลกๆ ปริยัติการศึกษามา เรามีกิเลสอยู่แล้ว เราว่าเราซื่อสัตย์ๆ มันทุจริตกับใครล่ะ? ทุจริตกับตัวเราเองไง มันทุจริตเพราะเราขาดโอกาสของเรา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ

ใครจะมีข้าวของเงินทองมากน้อยขนาดไหน จะมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหน นี่มันเป็นเรื่องอามิสทั้งนั้นแหละ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวเกิด เที่ยวแก่ เที่ยวเจ็บ เที่ยวตาย เที่ยวไปยึดภพ ยึดชาติ เที่ยวไปหมด สิ่งที่จิตนี้ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะ ถ้าจิตนี้ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะเวียนตายเวียนเกิดไปตามอำนาจของกรรม สิ่งที่เกิดมามันเป็นผลของกรรม สิ่งที่ว่าเราได้สิ่งใดมามันเป็นผลของกรรม แม้แต่เราได้ชีวิตนี้มาก็เป็นผลของกรรม

สิ่งที่เราได้มามันได้มาเพราะเหตุใด ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา เราจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไหม สิ่งที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีคุณค่าขนาดไหน สิ่งที่มีคุณค่า ทางโลกเขามีสติปัญญาขนาดไหน เขาศึกษานะ ศึกษา โลกเขามีการศึกษา โลกนี้เจริญด้วยปัญญาด้วยการศึกษาแน่นอน แต่การศึกษาอย่างนั้นศึกษามาเพื่อวิชาชีพ ศึกษามาเพื่อดำรงชีวิต ศึกษามานะ คนศึกษามา จบมาด้วยกัน บางคนประสบความสำเร็จ บางคนศึกษาไปจนขาดสติ จนเป็นคนใบบ้าไปก็มี นี่เวลาคนศึกษา คือศึกษาไง ศึกษาแล้วมาทำหน้าที่การงานมันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น โลกมีการศึกษา ศึกษาทางโลก ฉะนั้น ผลของการศึกษามา เรามีสติมีปัญญามากน้อยแค่ไหน นั่นมันก็เป็นวิชาการชีพ แล้วเวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา นี่ผลของโลกๆ แล้วเรามีสติปัญญาไหมล่ะ

ถ้าเรามีสติปัญญามันจะย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ชีวิตนี้ได้แต่ใดมา เวลาเกิดมา เจ้ามีสิ่งใดมาด้วยเจ้า เจ้ามาเพลิดเพลินกับชีวิตของเจ้าอยู่ในปัจจุบันนี้ แล้วเวลาเจ้าจะไป เจ้าจะเอาอะไรติดตัวของเจ้าไป

นี่ไง สิ่งที่ทำมา ถ้าเราไม่มีสติปัญญา นี่ซื่อเซ่อ ซื่อสัตย์ไง ก็ทำดีแล้วไง สังคมจะบอกว่าเราทำคุณงามความดีแล้ว เราก็เป็นคนดีแล้ว เราก็มีการศึกษา เราก็มีหน้าที่การงานของเรา เราก็ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม มันจะมีอะไรมากมายไปกว่านี้อีกล่ะ เราก็เป็นคนดีแล้วไง นี่ซื่อเซ่อ

เป็นคนดีแล้ว เจ้ามา เจ้ามีสิ่งใดมาด้วยเจ้า แล้วเวลาเจ้าไป เจ้าจะมีสิ่งใดติดตัวเจ้าไป เจ้ามาด้วยบุญกุศล มาสว่างจะไปมืด มาแล้วได้คุณประโยชน์สิ่งใด เกิดมาชาตินี้ทำคุณงามความดีอะไร ทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดีเฉพาะตน เราทำหน้าที่การงานมา เรามีสิ่งใดมาเราก็มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเราเท่านั้นแหละ แต่คนถ้ามีสติมีปัญญา เขาเสียสละของเขาออกไป เขาก็ได้ทำบุญกุศลของเขา เพิ่มบุญกุศลของเขาไป

ถ้าจิตนี้เที่ยวเกิดเที่ยวตาย เที่ยวยึดภพยึดชาติ ถ้ามันจะเวียนตายเวียนเกิดอีก มันก็มีสมบัติติดตัวของมันไปบ้าง แต่ถ้าเราเกิดมาในภพปัจจุบันแล้วเราก็ทำของเราไปด้วยผลของวัฏฏะ เราก็ทำเพลิดเพลินของเราไป เราไม่ได้ทำสิ่งใดเพิ่มพูนของเราไปเลย เวลามันเวียนตายเวียนเกิด จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว มันจะไปเกิดในภพชาติใดล่ะ ถ้าไม่ทำสิ่งใดไว้มันจะเกิดภพชาติใด คนจะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญา เห็นไหม “เราทำคุณงามความดีแล้ว เราจะต้องทำคุณงามความดีอย่างใดมากเกินไป” เห็นไหม นี่ซื่อเซ่อ

ถ้าซื่อสัตย์สุจริตล่ะ ถ้าซื่อสัตย์สุจริต เราเกิดเป็นมนุษย์ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษามาทางวิชาการ เราศึกษามาเป็นวิชาชีพ เราก็มีปัญญา เราก็รู้ได้ พระไตรปิฎกเราก็ศึกษาได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคอมพิวเตอร์ก็เยอะแยะไป

ถ้าเราศึกษาไปแล้ว เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะแทงใจนะ มันจะแทงใจว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ ท่านยังละทิ้งสิ่งนั้นมาเพื่อค้นคว้าสัจจะความจริง เห็นไหม การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย และการที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย สิ่งที่เป็นความสำคัญมาก สำคัญมาก

คนเรานะ ดูสิ เวลาเราปกติเราหายใจด้วยความปลอดโปร่ง เวลาเป็นหวัดขึ้นมาหายใจไม่ออกแล้ว เวลาหายใจไม่ออกมันอึดอัดขนาดไหน...ก็แค่นี้ แค่นี้มันก็รู้แล้วว่าชีวิตมันมาอย่างใด ชีวิตมันประสบความสำเร็จอย่างใด มันจะทุกข์ยากอย่างใด แล้วชีวิตมันก็มีอยู่แค่นี้เองจริงๆ สิ่งที่เราเกิดมาเราก็เคยพบเห็นมาแล้วทั้งนั้นแหละ นี่เวียนตายเวียนเกิดมาในวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราเกิดมาก็เป็นคนดีแล้วทำอย่างไรต่อ ดีแล้วไง

ดูสิ ดูสัตว์สิ สัตว์มันก็ดี สัตว์มันมีครอบครัวของมันนะ สัตว์มันก็มีคู่ของมัน มันก็มีลูกมีหลานของมัน มันก็รักลูกรักหลานของมันเหมือนกัน มันก็ดูแลลูกหลานของมัน มันหวงด้วย หัวหน้าฝูงมันไม่ให้ใครแตะเลย สัตว์มันก็เป็นสัตว์ เราเป็นมนุษย์ มนุษย์ถ้าเรามีศีลมีธรรมขึ้นมา เห็นไหม มนุษย์ต่างจากสัตว์ ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรมในหัวใจ ถ้ามีศีลธรรมในหัวใจมันก็เป็นคนดีขึ้นมา แล้วถ้าเป็นคนดีขึ้นมา เราจะซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ซื่อสัตย์ทุจริต ถ้าซื่อสัตย์ทุจริตมันคดโกงตัวเอง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเหยียบแผ่นดินผิด เหยียบแผ่นดินผิด เห็นไหม เราไม่ทำสิ่งใดเลย เราไม่ค้นคว้าแผ่นดินของเราเลย ภวาสวะคือภพ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เราจะมีแผ่นดินของเรา เราจะเหยีบบแผ่นดินของเรา เราจะมีหน้าที่การงานของเรา เราจะพัฒนาหัวใจของเรา เห็นไหม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเกิดและการตาย เกิดนี่เกิดมาแล้ว ตายไม่รู้ แล้วตายไม่รู้ ไม่มีสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเราเลย เพราะอย่างไรก็แล้วแต่มันก็เวียนตายเวียนเกิดอยู่แล้ว จิตหมุนไปในวัฏฏะอยู่แล้ว แล้วเวียนตายเวียนเกิดไป เราไม่มีสติปัญญารักษาใจเราเลยใช่ไหม แล้วถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา สิ่งที่องค์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอุตส่าห์ทิ้งนะ

หลวงปู่เสาร์ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านสละหมด ท่านเป็นมหานิกายแล้วท่านมาญัตติเป็นธรรมยุต แล้วเวลาท่านก็ออกค้นคว้าของท่าน แล้วท่านยังปกป้อง ยังไปเอาหลวงปู่มั่นท่านมา แล้วออกไปธุดงค์ด้วยกัน ออกไปค้นคว้าด้วยกัน ออกไปปฏิบัติด้วยกัน ท่านก็ทิ้งสถานะทางสังคมของท่านทั้งนั้นแหละ เพื่อมารื้อค้นความจริงของท่าน แล้วท่านก็เป็นแบบอย่าง อยู่ในป่าอยู่ในเขามาตลอด อยู่ในป่าในเขามาตลอดเพื่อยืนยันสิ่งใด? เพื่อยืนยันว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีคุณค่า สิ่งสถานะ ยศถาบรรดาศักดิ์ อำนาจวาสนาเรื่องลาภสักการะไม่มีคุณค่า ไม่มีคุณค่า ไม่มีคุณค่ากับความจริง ไม่มีคุณค่ากับอริยสัจ ไม่มีคุณค่ากับสัจจะความจริงในใจดวงนี้ ถ้าจิตมันทำความสงบของใจเข้ามาได้ มันจะอยู่ป่าอยู่เขา มันจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารขนาดไหนมันก็มีความสุขของมัน

สัตว์ป่ามันอยู่ของมัน ดูสิ มันต้องมีสภาพแวดล้อมอยู่ในป่าของมัน มันต้องมีอาหารของมัน มันถึงอยู่ในป่าของมัน เราเป็นมนุษย์ เราพยายามจะอนุรักษ์ของเรา เราพยายามจะไปดูแลรักษา เรากลัวสัตว์มันจะสูญพันธ์ไป สัตว์มันจะสูญพันธ์ของมันไป มันอยู่ในป่าในเขามันมีความสุขของมันตามธรรมชาติของมัน พวกมนุษย์นี่แหละยุ่ง มนุษย์ไปวุ่นวายกับเขาเอง แต่มนุษย์ที่เขารักษาสภาวะแวดล้อม เขารักษาพืชพันธุ์ พวกนักชีวะต่างๆ เขาก็จะดูแลจะรักษา

มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน สัตว์มันอยู่ป่าอยู่เขา มันอยู่ในป่าของมัน มันอยู่ดำรงชีวิตของมัน มันก็ปลอดภัยของมัน แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นล่ะ ท่านไปอยู่ในป่าในเขาทำไม ท่านธุดงค์ไปทำไม ท่านใช้ชีวิตของท่านทั้งชีวิตเพื่อเป็นแบบอย่างกับเราทำไม นี่ไง อำนาจวาสนา ผู้มีสัตย์

ผู้มีสัตย์ มีสัจจะ มีความจริงในหัวใจ ท่านมีความสุขของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน ในใจของท่านมันเป็นความสุขจริงๆ ความสุขจริงๆ ได้มาจากการรื้อค้น ได้มาจากการขวนขวายของท่าน ที่ท่านเกิดมาแล้วท่านเห็นการเกิดและการตายเป็นปัญหาอย่างยิ่งในหัวใจของท่าน ท่านถึงจะได้ค้นคว้าของท่าน ประพฤติปฏิบัติของท่าน เอาความจริงของท่านมา แล้ววางข้อวัตรปฏิบัติมาให้เราปฏิบัติกันอยู่นี่ไง

ถ้าเราจะปฏิบัติ เห็นไหม เราจะต้องเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าของข้อวัตรปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ท่านวางของท่านไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติ เพราะหัวใจของเรามันล้มลุกคลุกคลาน ไอ้พวกเรามันซื่อเซ่อ ทำพอเป็นพิธี ทำให้มันครบสูตรว่าได้ทำแล้วเท่านั้นแหละ แล้วถ้าหัวใจมันไม่พลิกแพลง หัวใจมันไม่เฉลียวเลย มันไม่ได้เฉลียว ไม่หาโอกาส ไม่มีอุบายวิธีการเพื่อจะรักษาใจของเราให้อยู่ในอำนาจของเราเลย มันจะเอาความจริงมาจากไหนล่ะ? มันก็เป็นปริยัติไง

ปริยัติเขาศึกษามานะ ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เราก็มา ฟังครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ หลวงตาต่างๆ ฟังมาท่านมาจากไหน ท่านทำของท่านจริงของท่านมา ท่านมีความจริงของท่านมา เวลาท่านแสดงธรรมออกมามันเป็นความจริง เห็นไหม เราฟัง ถ้ามีเทปนะ มีเทป มีธรรมของครูบาอาจารย์ฟัง มันก็ยังชื่นใจนะ ในหัวใจมันยังมีอุบาย สิ่งนี้มันเป็นการชี้นำให้ใจเราประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา

นั่นมันเป็นสัญญา มันเป็นสิ่งที่จำมา มันไม่เป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา เห็นไหม เราเกิดเป็นชาวพุทธพบพระพุทธศาสนา เราจะไม่เหยียบแผ่นดินผิด ถ้าไม่เหยียบแผ่นดินผิด เรากำหนดพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา ถ้าจิตมันเริ่มสงบเข้ามา จิตมันเริ่มสงบ มันสงบเพราะเหตุใด มันสงบเพราะเราเอาจริง มันสงบเพราะเรามีสัจจะ เห็นไหม ผู้มีสัตย์ๆ

คนที่เขามีสัตย์นะ เขาตั้งกติกา เขาอธิษฐานสิ่งใด เขาปรารถนาทำสิ่งใด เขามีสัตย์ของเขา เขามีสัจจะของเขา แต่ถ้ามันซื่อ เราก็ตั้งสัจจะของเรา แต่มันล้มลุกคลุกคลาน ถ้าเวลาเป็นปัญญา ซื่อเซ่อมันเป็นสัญญา มันเป็นปัญญาที่อั้นตู้ มันเป็นปัญญาของกิเลสไง มันได้ทำพอเป็นพิธี พอทำครบสูตรนั้นไง

แต่ถ้าคนมีสัตย์นะ ซื่อแล้วต้องฉลาด เขามีความฉลาด เขาฉลาดว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาท่านก็มีความรู้สึกเหมือนเรา ท่านก็มีกิเลสเหมือนเรา คนไม่มีกิเลสจะเอาอะไรมาเกิด สิ่งที่เราเกิดมา จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว จิตนี้เสวยภพเสวยชาติ เสวยภพเสวยชาติแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยภพเสวยชาติโดยเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยภพเสวยชาติเพื่อสร้างคุณงามความดี เสวยภพเสวยชาติเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม เพื่อหัวใจมีอินทรีย์แก่กล้า มีพละ มีกำลัง เวลาใครสรรเสริญเยินยออย่างไร ใครจะชักนำให้หลงผิดไปทางใด มันจะไม่คล้อยตามใครไป เพราะมีอำนาจวาสนา

ถ้าจิตใจของคนอ่อนแอ จิตใจของคนที่ไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา จะเกาะเขาทั่วไป เห็นไหม มีแต่ความลุ่มหลง เขาไม่ต้องบอกก็หลงไปกันแล้ว เสียงร่ำลือ เสียงนกเสียงกาไปหมด กระต่ายตื่นตูม เสียงลูกตาลตกมา “ฟ้าถล่มๆ” ไปกับเขา แค่ลูกตาลตกมันก็ว่าฟ้าถล่มๆ พากันไปขาหัก พากันไปเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามันจะหลงมันหลงอย่างนั้น

แต่ถ้าเรามีสติ เห็นไหม เวลาจิตนี้เวียนเกิดเวียนตาย ถ้าเวียนเกิดเวียนตาย เราต้องตั้งสติ ตั้งสติของเรา ถ้าผู้มีสัตย์ มีสัจจะมีความจริง มันจะมีสติมีปัญญา สิ่งใดเกิดขึ้น เห็นไหม เราฟัง ฟังนะ ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงกับความจริงมันจะเข้ากัน

ถ้าเรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา นี่แค่จิตมันสงบ จิตมันเริ่มปล่อยวางเข้ามาเราก็รู้แล้ว เราทำแล้วมันก็ได้ผลของเราแล้ว เราพยายามฝืนทน พยายามมีความเพียร เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แต่จิตนี้สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด เร็วกว่าแสง เร็วกว่าทุกๆ อย่าง จิตมันไปได้เร็วมาก สันตติไวมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปฏิจจสมุปบาท วงรอบของมัน มันจะเร็วกว่านี้เยอะมาก

คนที่จะเข้าไปรู้นะ ถ้าคนซื่อสัตย์ มีสัจจะ มีอริยสัจจะ มันจะเริ่มพัฒนาขึ้นไป มันจะพัฒนาเข้าไปเห็นกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างละเอียดสุด แม้แต่ผู้ที่ภาวนาขึ้นไปเขายังต้องมีปัญญาที่แหลมคม ปัญญาที่คมกล้า มันจะพัฒนาเข้าเป็นเป็นสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา เข้าไปจนเป็นปัญญาญาณ เข้าไปชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม การเกิดและการตายเป็นปัญหาอย่างยิ่งกับทุกดวงใจ การเกิดและการตายเป็นปัญหาประจำหัวใจของเรา ถ้าปัญหาการเกิดและการตายมันเป็นความจำเป็นกับเรา เราจะต้องมีสติปัญญาเพื่อเหตุนี้

เราเป็นชาวพุทธนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ ธรรมะมันจะแวววาวขึ้นมา ธรรมะจะเป็นสัจจะความจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมามีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา นี่รัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สมบูรณ์ขึ้นมา ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงในหัวใจของเรา ธรรมะจะแวววาวในหัวใจของเรา ธรรมะจะแวววาวในหัวใจของเรา เห็นไหม มันจะมีผู้มีสัตย์ มีสัจจะมีความจริง

ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังธรรมของครูบาอาจารย์เรา ฟังมาแล้วมันสดชื่น ฟังมาแล้วมันดูดดื่ม แต่เวลามันเกิดสัจจะความจริง เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาในหัวใจของเรา นั่นล่ะใจมีธรรมๆ ธรรมเกิดจากใจของเราเองเลย ถ้าธรรมจากใจของเราเอง เห็นไหม มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา

จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา จิตสงบแล้ว จิตไม่สงบเราก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ แต่ซื่อเซ่อมันบอกปัญญา นี่พุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ในเมื่อเราใช้ปัญญาแล้ว มันปล่อยวางแล้ว นี่คือนิพพาน...มันอ่อนแอขนาดนั้น จิตนี้ไม่มีวุฒิภาวะขนาดที่ว่ามันอ่อนแอขนาดนั้น ยังไม่เกิดสิ่งใดเลย มันก็จะไหลตามเขาไปแล้ว

ดูสิ เวลาเขาเสนอกันมา ดูปฏิบัติ รู้ง่ายเห็นง่าย ไปทางลัด จะลัดสั้นขึ้นไป แล้วมันลัดสั้นไปไหนล่ะ มันลัดสั้นจะไปไหน ทำไมเชื่อล่ะ แล้วเราทำความจริงขึ้นมามันลัดสั้นไหมล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทกดาบส อาฬารดาบสเป็นผู้เสนอเองว่า “เจ้าชายสิทธัตถะได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นศาสดาได้ สอนได้เหมือนเรา” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ ในเมื่อหัวใจเรายังมีความทุกข์อยู่ เราเข้าฌานสมาบัติได้ก็เข้าฌานสมาบัติได้ เวลามันคลายออกมามันก็ปกติ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดเขายกยอปอปั้นขนาดไหนยังปฏิเสธเลย นี่เราไปฟังเขา “ลัดสั้นๆ” ลัดสั้นมันเป็นโวหารของมหายานเขา มันเป็นโวหารว่าให้เราละทิ้ง พยายามขวนขวายก้าวเดินไป แต่ความก้าวเดินไปของเขา เพราะในมหายาน ไปดูเขาสิ ในมหายานที่เขาประพฤติปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติกันขนาดไหน เขาปฏิบัติกันด้วยความเข้มข้นขนาดไหน เขาทำจริงขนาดไหน พอเป็นลัดสั้นของเรามันเป็นพวกจับจด ซื่อเซ่อ แค่โวหารเราก็ตีความผิด แค่โวหาร คือว่าคำสอนโวหารเขาจะให้รู้ให้เท่าทันกับกิเลสของคน ให้คนได้พลิกแพลง มันเป็นอุบาย มันเป็นอุบายเท่านั้น แต่เวลาของเรา เราไปฟังมาแล้วเราจะเอาตามจริงอย่างนั้นไง เราฟังแล้ว เราคิดแล้ว จินตนาการแล้วเราจะเอาตามความจริงอย่างนั้นก็เลยซื่อเซ่อ ซื่อโง่ไง ซื่อโง่ไปแล้วปฏิบัติไปก็ล้มลุกคลุกคลาน จิตมันก็ไม่สงบไง จิตมันก็เป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ไง

แต่ถ้าจิตเป็นความจริงนะ เราซื่อแล้วเราจะฉลาด เราซื่อแล้วเราจะซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์สุจริต นี่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คนมันจะทุกข์มันจะยากมันก็เป็นอำนาจวาสนาของคน คนนะ ดูสิ ขิปปาภิญญา ยสะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ ที เป็นพระอรหันต์เลย พาหิยะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวหนเป็นพระอรหันต์ไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นอยู่ ๖ ปี รื้อค้นๆ อยู่ ๖ ปี กว่าจะล้มลุกคลุกคลานมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ คืนเพ็ญเดือน ๖ เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ชำระล้างกิเลส เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา นี่อำนาจวาสนาของคนมันมีใครเหมือนใครล่ะ มันมีใครมีอำนาจวาสนาน้อยต่ำกว่าใครล่ะ มันก็เป็นอำนาจวาสนาของคนคนนั้นใช่ไหม แล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อ เรามาประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ มันจะเป็นอำนาจวาสนาของใครล่ะ? มันก็เป็นอำนาจวาสนาของเราไง มันก็เป็นความจริงของเราไง เราก็พยายามปฏิบัติของเรา ทำความจริงของเราขึ้นมา

เวลาฟังธรรมๆ ทางโลกเขาบอกฟังธรรมเอาบุญกัน เวลาฟังพระเทศน์จบ สาธุ! ได้บุญมหาศาลเลย แล้วได้อะไรต่อไปล่ะ เข้าใจอะไรบ้างล่ะ แล้วเวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเป็นพิธีไง เห็นไหม เวลาฟังธรรม ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ที่ไหนมีวัดต้องมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ แล้วประชาชนรอบข้างวัดนั้นก็ต้องเข้าไปฟังเทศน์ฟังธรรมในวัดนั้น วัดนั้นเทศน์ธรรมเสร็จแล้วก็สาธุ! เพื่อสอนให้คนฉลาดขึ้นมา ถ้าคนฉลาดขึ้นมาแล้วเขาก็เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดี ไปทำหน้าที่การงานแล้วประเทศชาติเขาจะเจริญ แล้วเกิดและตายล่ะ แล้วความจำเป็น จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวเกิด เที่ยวแก่ เที่ยวเจ็บ เที่ยวตาย แล้วจิตล่ะ แล้วจิตที่มันเกิดมันตายมันไปไหนต่อล่ะ

แต่ถ้าเรามีครูมีอาจารย์นะ วัดที่ปฏิบัติ การปฏิบัติสำคัญที่สุด ฉะนั้น การปฏิบัติสำคัญที่สุด สิ่งที่ผู้มาอาศัย เห็นไหม เราก็ทำข้อวัตร คำว่าข้อวัตรนะ เพราะคน นกยังมีรวงมีรัง นกมันยังต้องมีรวงมีรังของมันไว้หลบแดดหลบฝนของมัน เวลาคนนะ เวลาพระเราบวชมาต้องมีบริขาร ๘ เพื่อเป็นปัจจัย ๔ แล้วเวลาจะจำพรรษาให้ธุดงค์ไป ให้อยู่โคนไม้ เวลาเข้าพรรษาต้องมีเรือนว่าง มีที่อยู่ที่อาศัย เหมือนนกมีปีกกับหาง บิณฑบาตฉันแล้วบินไป นี่ไง หลักเกณฑ์มันอยู่ตรงนี้ ความเป็นจริงอยู่ตรงนี้ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ เวลาบวชมาแล้วเราก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน เราก็ต้องอาศัยเหมือนกัน ถ้าเราต้องอาศัย เวลาเราปฏิบัติแล้วเราก็ต้องมีข้อวัตรของเรา

เวลาบวชมาแล้ว เวลาเป็นนักปฏิบัติแล้ว สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติ นกยังมีรวงมีรัง ฉะนั้น กิจของสงฆ์ ของของสงฆ์ ของส่วนรวมเราก็ทำหน้าที่ของเราไป เราทำหน้าที่ของเราไป เวลากิจของส่วนรวมคือสิ่งที่อยู่อาศัย สิ่งที่อยู่อาศัยนะ มันต้องทำความสะอาด ดูพระสิ พระเอาของสงฆ์ไปใช้ ไม่ได้เก็บเองก็ดี ไม่ได้วานให้ใครเก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์ สิ่งของต่างๆ มันมีทั้งนั้นแหละ ของของสงฆ์ ครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ แจกได้ แจกไม่ได้ เอามาใช้สอยได้หรือใช้สอยไม่ได้ เพราะนกยังมีรวงมีรัง คนก็ต้องมีที่อยู่อาศัย ถ้าสิ่งนี้เราต้องทำตามหน้าที่ของเรา ทำหน้าที่เสร็จแล้วเราต้องรีบประพฤติปฏิบัติของเรา รีบดูแลหัวใจของเรา

สิ่งที่เป็นความจำเป็นกับจิตคือการเกิดและการตาย ถ้าการเกิดและการตาย การเกิดและการตายก็ต้องดำรงชีวิตนี้ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ดำรงชีวิตนี้ไว้เพื่อเห็นการเกิดและการตาย ถ้าเห็นการเกิดและการตาย เห็นที่ไหน ถ้าจิตไม่สงบมาจะเห็นสิ่งใด จิตไม่สงบมา เห็นไหม ซื่อเซ่อ ซื่อโง่ ทำให้ครบสูตร แล้วได้อะไรต่อไป ก็ปล่อยวางแล้วไง รู้ไปหมดไง นี่ซื่อเซ่อ

ถ้าซื่อสัตย์สุจริตล่ะ ซื่อฉลาดล่ะ ถ้าเขามีสัจจะของเขาล่ะ ถ้าเขามีสัจจะ เห็นไหม ปัญญาเขาจะคมกล้า ปัญญาเขาจะแหลมคม ปัญญาแหลมคมมันอยู่ที่ไหน ปัญญาแหลมคมย้อนทวนกระแสเข้าไปสู่จิต การเกิดและการตายเป็นเรื่องสำคัญของจิตทุกๆ ดวง ถ้าจิตทุกดวงใจที่เวียนตายเวียนเกิด การเกิดและการตายเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าความเกิดและความตายเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา มันปล่อยวางสิ่งใดเข้ามา มันปล่อยวางเพราะอะไร มันปล่อยวางเพราะมีสติ มีคำบริกรรม มีปัญญาอบรมสมาธิ มันถึงปล่อยวางสัญญาอารมณ์

เพราะมันมีสัญญา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียง อายตนะกระทบ รูป รส กลิ่น เสียง ก็มีเท่านี้ ถ้าไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง เห็นไหม ดูสิ เวลาเราปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็คิดของมันเอง ดูสิ เวลาคนนอนหลับมันก็ฝัน ความฝันนั่นคือสัญญาภายใน ความฝันก็คือสัญญา คือสังขารมันปรุงอยู่ในหัวใจ ฉะนั้น มันเสวยอารมณ์โดยธรรมชาติของมัน เห็นไหม สิ่งที่การเกิดและการตายเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งกับทุกดวงใจ แล้วทุกดวงใจมันก็เผลอของมัน มันส่งออกของมันโดยเสวยอารมณ์ของมัน เสวยรูป รส กลิ่น เสียง เป็นสิ่งที่ว่าเป็นการกระทบ เป็นการแสดงตนของมันขึ้นมา เวลาจิตมันปล่อยวางขึ้นมา คนนอนหลับ คนที่ไม่ได้คิดสิ่งใด จิตมันไปไหน จิตมันไปไหน มันไม่มีสติไม่มีปัญญารักษา มันถึงไม่เป็นสมาธิ มันถึงเป็นการเผลอ คนขาดสติ คนไม่ได้รักษาสติมันก็เผลอของมัน มันก็เร่ร่อนของมัน

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจิตดวงใดก็แล้วแต่ จิตดวงใดทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจของใครสงบเข้ามาจะมีบ้านมีเรือน ที่พึ่งที่อาศัย นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตที่มันเร่ร่อน เห็นไหม เวลามันคิดของมัน มันตึงเครียดของมัน เวลาคิดมันฟุ้งซ่านของมันจนมีความทุกข์ของมัน นั่นมันก็กินแต่สิ่งที่เป็นความเป็นพิษของมัน

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งที่มันจะเครียดขนาดไหน มันจะมีความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน มันจะแบกหามขนาดไหน นี่มันเป็นอนิจจัง มันเป็นทุกข์ มันก็ต้องปล่อยวางธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันทุกข์ เครียดจนเต็มที่ของมัน แต่ถ้าคนหยาบนะ มันเครียดแล้วเครียดเล่า มันตอกย้ำอย่างนั้นมันจะเครียดตลอดไป เครียดจนขาดสติ เครียดจนหลุดโลกไปเลย

แต่ถ้าคนมีสติขึ้นมา เวลามันเครียดขนาดไหนมันก็ปล่อยวางของมัน มันวางของมันได้ ถ้ามันวางของมันได้ แต่มันไม่มีสติไม่มีปัญญาตามความเป็นจริง เห็นไหม เราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าใจแล้วเราก็ปล่อยวางๆ ปล่อยวางแต่ขาดสติ ไม่มีการบำรุงรักษา มันก็ไม่เป็นสัมมาสมาธิ แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ ของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา เราบำรุงรักษา เราบำรุงรักษาใจของเรา

เกิดเป็นชาวพุทธ ถ้าไม่เห็นใจของตนเอง จะเหยียบแผ่นดินผิด ใครทำความสงบของใจเข้ามาไม่ได้ ใครไม่เคยเห็นความสงบของใจของตัวเองโดยความเป็นจริงเลย เราจะไม่เห็นภวาสวะ ไม่เห็นตัวตนของเรา ไม่เห็นความจริงของเรา จิตมันถึงเร่ร่อน จิตมันถึงไม่มีเรือนอยู่ไง ถ้าจิตมันมีเรือนอยู่ เห็นไหม เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ หรือกำหนดพุทธานุสติ กำหนดสิ่งใดก็ได้ มันต้องมีคำบริกรรม

เห็นไหม โดยธรรมชาติของมัน จิตมันส่งออก จิตนี้เวียนเกิดเวียนตาย จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว แล้วเวลามันอยู่โดยธรรมชาติของมัน มันก็เสวยอารมณ์ของมัน เสวยอารมณ์สิ่งใด เสวยความคิดสิ่งใด นั่นล่ะภพชาติของมัน มันเสวยแล้วมันเร็วมาก สิ่งที่ว่าเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วความคิด เห็นไหม ดูสิ ธรรมชาติของจิต จิตเป็นพลังงานสั่งไปที่สมอง สมองก็สั่งให้ร่างกายขับเคลื่อนไป ความคิดที่เกิดขึ้นก็เหมือนกัน ความคิด ความรู้สึก เห็นไหม ดูทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ พยายามพิสูจน์ เขาบอกมันเป็นพลังงานไฟฟ้า มันมีพลังงานของมัน เขาพยายามศึกษาของเขาอยู่

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันเสวยอารมณ์ๆ มันเร็วมากๆ นี่เป็นธรรมชาติของมัน นี้โดยธรรมชาติของมัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกธุดงค์ไปเพื่อไปค้นหาใจของตัว ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นภาคปริยัติ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ท่านพาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์ ออกธุดงค์เข้าป่าเข้าเขาเพื่อไปฝึกหัด ฝึกหัดค้นหาเพื่อดูแลใจของตัว เวลาฝึกหัดจนสำเร็จแล้ว เห็นไหม จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เพราะท่านรู้เท่ารู้ทัน รู้จบแล้ว หลวงปู่มั่นน่ะ แล้วทำอย่างไรมันถึงจะรู้เท่ารู้ทันล่ะ

ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา ตัวของเราเอง จิตของเราเองไม่รู้จักจิตของเราเอง ใครจะเป็นคนรู้ ถ้าจิตของเรา เรายังไม่รู้จักตัวของเราเอง ใครจะแก้ไขเราเอง แม้แต่สิ่งที่อยู่ในสังคมที่มีปัญหากันอยู่นี้ก็เถียงกันด้วยคุณงามความดี เอาความดีกับความดีโต้แย้งกัน เวลาโต้แย้งกัน ไม่มีใครลงใคร ก็ติดความดี เอาความดีทะเลาะเบาะแว้งกัน แล้วถ้ามีบุคคลที่ฉลาดชี้ให้เห็นว่าใครถูกใครผิด ถ้าด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเขาเป็นสุภาพบุรุษชน เขาก็ต้องยอมรับความจริงอันนั้น ฉะนั้น ถ้าใครชี้ถึงความบกพร่องของใครได้นั่นคืออริยทรัพย์

แต่ถ้าคนดื้อ คนที่มันไม่ยอมรับเหตุรับผล เขาจะไม่ยอมฟังใครเลย เขาก็ว่าเป็นซื่อเซ่อ ซื่อโง่ ซื่อโดยทิฏฐิมานะ นี่พวกซื่อไร้เดียงสา นี่ไง ซื่อแบบนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าผู้มีสัตย์ล่ะ ซื่อสัตย์สุจริตล่ะ ถ้าเขาซื่อ เขามีปัญญาของเขา ถ้าเขาพูดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเท็จจริง เราต้องยอมรับสิ ถ้าเรายอมรับ เห็นไหม ผู้นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลง ผู้นั้นพยายามจะหาความบกพร่องของตัว ถ้ามีความบกพร่อง เราเห็นความบกพร่องของตัว เราจะทำซ้ำอีกไหม

ถ้าซ้ำ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวเกิด เที่ยวแก่ เที่ยวเจ็บ เที่ยวตายตามภพชาติต่างๆ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยวในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้าเรามีทิฏฐิมานะ เราก็ว่าเราถูก เราดีเรางามของเราไป มันก็ยึดทิฏฐิมานะของเราไป มันก็มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นแหละ นี่มันเป็นความเป็นพิษ มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทับถมเข้าไปที่ใจ

ถ้ามีสติมีปัญญา สิ่งที่เราเสวยอารมณ์ สิ่งที่มันเป็นความผิดๆ เราเห็นผิดไหม เราปล่อยไหม นี่มันปล่อย ถ้ามีสติปัญญา นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันปล่อยขึ้นมา มีสติปัญญา มันรู้ เพราะอะไร เพราะมันคายสารพิษนั้นออกไป มันคายรูป รส กลิ่น เสียง มันคายสัญญาอารมณ์ออกไป ถ้ามันคายออกไปมันเหลือสิ่งใด มันเหลือสิ่งใด

มีสติเท่าทัน มีสติทำให้จิตนี้สงบเข้ามา มันปล่อยวาง แล้วเดี๋ยวก็คิดต่อ ก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่อเนื่องกันไป ถ้ามันกำหนดพุทโธๆๆ นี่บังคับแต่ต้น บังคับแต่ต้นว่าในเมื่อเป็นความรู้สึก ธรรมชาติที่รู้ จิตนี้เป็นธรรมชาติที่รู้ เห็นไหม แล้วสิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ ธรรมชาติที่รู้บังคับตั้งแต่เริ่มต้น บังคับให้ลงที่พุทโธเลย พุทธานุสติ คำบริกรรมพุทโธๆๆ ของเราไปเลย ถ้ามันสงบเข้ามา เห็นไหม ถ้าพุทโธๆ ถ้าอำนาจวาสนาของคน ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางกรรมฐาน ๔๐ ห้อง ให้ความสะดวกของใคร ความถนัดของใคร จริตนิสัยของใคร ถ้าเราทำสิ่งใด เห็นไหม ฉะนั้น เราปฏิบัติแล้ว เราเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เวลาปฏิบัติเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วพยายามทำต่อเนื่องๆ แต่มันมีอุบาย อุบายเวลาเราทำต่อเนื่องไปแล้วมันจำเจซ้ำซาก เราก็มีอุบายเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งเป็นคราว

ผู้มีสัตย์เขามีอุบาย เขาเฉลียวใจ เขาคิดแล้วเขามีความเฉลียว เขายังคิดแล้วเขาพลิกแพลงกลับมา ไม่ใช่ซื่อเซ่อ “ก็ปฏิบัติแล้ว ก็พุทโธเต็มที่ ก็ใช้ปัญญาเต็มที่ มันไม่เห็นได้ผลสักที” เวลาอวิชชาความไม่รู้ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำอย่างนั้นกันต่อไป แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ กิเลสนี้ร้ายนัก กิเลส เห็นไหม ถ้ากิเลสไม่ร้ายนัก มันไม่เป็นเจ้าวัฏจักร มันไม่ครองในใจของสัตว์โลก ไม่ใช่ครองในใจของมนุษย์นะ ตั้งแต่พรหมลงมา อวิชชา พญามารมันครอบครองหัวใจของสัตว์โลก จิตที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะโดยพญามารทั้งนั้น

ฉะนั้น เวลาเราทำความสงบของใจ เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กิเลสมันจะให้เห็นง่ายๆ ไหม ลับลวงพรางๆ ทั้งลับ ลึกลับซับซ้อน หาจิตดวงนี้ไม่เจอ ถ้าจิตสงบแล้วมันก็พยายามบอก “นี่ติดว่าเป็นความสงบนี้เป็นความสุข เราใช้ปัญญาให้มันเหนื่อยยากไปทำไม” เห็นไหม ซื่อเซ่อ นี่มันลับไง เวลามันลวงมันก็ลวงว่าปฏิบัติไปแล้วเราจะได้มรรคได้ผล เวลามันพรางนะ หาไม่เจอ “ทำไปทำไม ทำแล้วได้ประโยชน์สิ่งใด” เห็นไหม มันลับลวงพราง

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว ใครมีอำนาจวาสนาย้อนไป มันต้องมีเวทนา มีผลกระทบอยู่แล้ว เวทนากาย เวทนาใจ เวลานั่งไป ความเจ็บความปวด ความรับรู้สึกมีทั้งนั้นแหละ นี่เวทนาของกาย เวลานั่งไปแล้วมันจะมีความรับรู้ต่างๆ นี่เวทนาของกาย เวทนาของกาย ใครเป็นคนรับรู้? จิตเป็นคนรับรู้ ถ้าไม่มีจิต เวทนากายมันจะมีได้อย่างไร ซากศพมันไม่เคยคิดว่ามันมีเวทนา เวลาคนตายแล้วเขาไปเผามันก็ไม่เห็นร้องว่าเจ็บว่าปวด มันไม่กลัวความร้อน เพราะอะไร เพราะจิตออกจากร่าง ฉะนั้น เวลาเรานั่งไป จิตรับรู้ทั้งนั้นแหละ มันถึงมีเวทนากาย

เวทนากาย สิ่งที่กระทบ ถ้าไม่มีกายกับจิตมันก็มีความรับรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ ถ้าจิตมันไม่สงบขึ้นมามันก็ไม่ได้คิดแบบนี้ จิตไม่สงบขึ้นมามันก็คิดแต่สัญญาอารมณ์ คิดแต่ความยึดมั่นถือมั่นของมัน พอจิตมันสงบเข้ามาแล้ว จิตสงบแล้วถ้ามันมีเวทนา เห็นไหม มีเวทนา จิตที่สงบแล้วมันก็จับเวทนามาพิจารณาของมันได้ เห็นไหม

สิ่งที่เป็นลับลวงพรางๆ มันเกิดเฉพาะหน้า มันอยู่ซึ่งๆ หน้า แต่เพราะเราไม่เฉลียว เราไม่คิดว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเราเลย เราคิดว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราคือลาภยศสรรเสริญนินทา สิ่งที่มีคุณค่าสรรเสริญทางโลกนั่นคือผลประโยชน์ของเรา เราไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่เห็นซึ่งๆ หน้ามันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่เพราะมันซื่อเซ่อ มันว่าปฏิบัติแล้วมันจะได้นิพพาน ปฏิบัติแล้วมันจะได้มรรคได้ผล มรรคผลมันก็อยู่ในตำรา มรรคผลก็บอกว่าเป็นความว่าง ความว่างเราก็จินตนาการสร้างขึ้นมา มันก็เป็นกองของความว่าง มันก็รับรู้ของมันไป แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่มันจะรู้จะเห็นมันไม่ได้คิดถึงเลย ฉะนั้น กิเลสมันเลยลับลวงพราง

พญามารที่มันครอบใจของสัตว์โลกมันยิ้มเยาะ มันหัวเราะเยาะ นักปฏิบัติโคตรโง่ นักปฏิบัติที่อยู่ในอำนาจของมัน นักปฏิบัติที่อยู่ใต้อำนาจของมาร ปฏิบัติมาเถอะ ปฏิบัติให้ครบสูตร ทำให้ครบสมบูรณ์เลย เสร็จแล้วปฏิบัติแล้วมันก็จะได้ผล นี่มารมันหัวเราะเยาะ ทำไมพวกปฏิบัติมันโง่ได้ขนาดนี้เนาะ

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฉลาด ท่านพยายามออกอุบาย ท่านพยายามสั่งสอนพวกเรา ท่านพยายามให้มีข้อวัตรปฏิบัติให้จิตมันเกาะนี้ไว้ ถ้าจิตมันไปคิดของมันเอง มันปฏิบัติของมันเอง มันก็ว่ามันทำแล้วสมบูรณ์แบบทั้งนั้นแหละ แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามของท่านนะ

หลวงปู่มั่น เห็นไหม “พระที่พรรษามากไม่ต้องขึ้นมา ให้พระปฏิบัติใหม่มันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป” นี่มันติดหัวอะไรล่ะ? ติดหัวใจไง ถ้าติดหัวใจ เห็นไหม ปฏิบัติอย่างไร ถึงเวลาแล้วทำอย่างไร เวลาออกบิณฑบาต บิณฑบาตมาแล้วขบฉันอย่างไร ขบฉันแล้วเก็บล้างอย่างไร เอาเก็บล้างแล้วกลับไปกุฏิไปร้านแล้วเราภาวนาต่อเนื่องอย่างไร ถึงเวลาแล้ว เวลาฉันน้ำร้อนแล้วเราจะทำข้อวัตรต่อเนื่องอย่างไร เตรียมตัวไว้ เวลาค่ำแล้วสวดมนต์ทำวัตรแล้วจะนั่งภาวนาต่อเนื่องอย่างไร นี่ข้อวัตร เพราะอะไร

เพราะมันทำแล้วถ้าไม่มีสัจจะมันเหลวไหล “ทำแล้วก็ไม่เห็นมันได้อะไรขึ้นมา ทำแล้ว ปฏิบัติมาตั้งหลายปีแล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน” เห็นไหม ถ้าไม่มีข้อวัตร มารมันยิ่งชอบ มารมันยิ่งพาลงเหวลงบ่อไปเลย แต่ถ้ามันมีข้อวัตร ถึงมารมันจะดึงไปอย่างไร ข้อวัตรที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นให้ติดหัวมันไปมันยังรักษาตัวมันรอด ถ้ามารมันจะดึงไปไง มันจะมักง่าย มันจะทำสับปลับ มันจะเอาแต่ใจ มันจะทำแต่ความพอใจของตัว อะไรถ้ามันถูกใจอันนั้นถูกต้อง อะไรที่มันไม่ถูกใจ มันปฏิเสธหมดเลย

หลวงปู่มั่นท่านบอกให้มีข้อวัตรติดหัวมันไป ถ้าข้อวัตรติดหัวมันไป มารมันแย่งชิงไปไม่ได้ มันต้องอยู่ในข้อวัตร แล้วเราพยายามพุทโธของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา เราพยายามรักษาของเรา จากข้อวัตรนั่นล่ะ จากข้อวัตรที่จิตมันฝึกหัด เห็นไหม

พระมีจิตมันถึงมีร่างกาย คนเรามีกายกับใจ ถ้าไม่มีกาย เรานั่งนานมันจะปวดไหม ความเจ็บปวดมันมาจากไหน มันปวดเพราะเรามีแข้งมีขา จิตรับรู้มันถึงได้ทุกข์ได้ยาก เวลาข้อวัตรปฏิบัติถ้าจิตมันไม่ทำ จิตเราไม่ได้ทำด้วยหัวใจของเรา มันก็สักแต่ว่าทำ ถึงสักแต่ว่าทำ เพราะมันมีพญามาร มันลับลวงพรางอยู่ในใจของเรา มันก็อ้างอิง อ้างอิงเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของมัน นี่ไง ซื่อเซ่อ ซื่อเซ่อก็เสร็จมัน ซื่อเซ่อก็ให้กิเลสมันครอบงำ ให้พญามารมันหลอกใช้ หลอกใช้ทั้งๆ ที่เราปฏิบัติธรรมนะ

เราปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสัจธรรม เพื่อสัจธรรม เพื่อศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเรา แต่ปฏิบัติไปแล้วให้มารมันพลิกแพลงไป ให้มารมันเอาความดีความชอบของเราไปอยู่ในอำนาจของมันหมดเลย แล้วปฏิบัติไปทำครบสูตร ทำตามมัน แล้วได้สิ่งใดต่อมา แล้วมีสิ่งใดเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่ไง เพราะมันเซ่อ มันไม่เฉลียวใจ ไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณา

ถ้ามันเฉลียวใจ มันคิด มันพิจารณา เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติเราปฏิบัติ แต่เราต้องมีสติมีปัญญา เวลามันปล่อยวาง มันสงบเข้ามา อืม! มันปล่อยวางสงบระงับเข้ามาจากข้อวัตรปฏิบัติ มันสงบระงับเข้ามาเพราะเราฝึกหัด เพราะมีสติมีปัญญา นี่ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิด

ศีลคือความปกติของใจ สมาธิคือจิตสงบเข้ามา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันเป็นข้อเท็จจริง มันไม่ใช่สัญญา มันไม่ใช่ความจำศึกษามา ปริยัติ ปฏิบัติ เวลาปฏิบัติมามันมีความจริงเกิดขึ้น มันมีมรรคมีผลเกิดขึ้น มันมีศีล มันมีสมาธิ มันมีปัญญาเกิดขึ้น ถ้ามีปัญญาเกิดขึ้นมันก็เป็นมรรค ถ้าเป็นมรรค เวลาสงบแล้วพยายามค้นคว้า พยายามหาให้เห็นไง

ลับลวงพราง กิเลสมันลับลวงพราง มันทั้งลับ ทั้งลวง ทั้งพราง ไม่รู้ไม่เห็นของมัน แต่ถ้าพอมีสติมีปัญญา พอมันจับเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นไหม มันไม่ลวง มันไม่พรางแล้ว นี่ชัดเจนของมัน เวลาชัดเจนของมัน นี่ปัญญาที่คมกล้า ปัญญาที่มันเข้มแข็ง ปัญญาที่สัมมาสมาธิรองรับขึ้นมา มันจับเวทนาขึ้นมาพิจารณาได้ ถ้าเวทนามันเกิดมาเพราะเหตุใด เวลาเวทนามันเกิดขึ้นมาเพราะว่าสติปัญญาเราอ่อนแอ พออ่อนแอมันก็เกิดขึ้นมา

ถ้าพิจารณากายนะ พิจารณาปล่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลามันปล่อยมันวางจนมันไม่มีนะ พอมันไม่มีขึ้นมา เราจะพิจารณาเวทนาอย่างไร เพราะเวทนามันไม่มี มันว่างหมดเลย พอพิจารณาไม่ได้ หาไม่เจอมันก็เศร้าหมอง เศร้าหมองนั่นล่ะเวทนาจิต นี่เวทนาจิต จิตมันเศร้าหมอง จิตมันผ่องใส เวลามันไม่พอใจ มันขัดข้องหมองใจ นั่นก็เวทนา เวทนาที่ไม่ต้องอาศัยร่างกายเลย ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย มันก็หงุดหงิด

ไอ้หงุดหงิดขัดข้องหมองใจนั่นล่ะ นั่นก็เวทนา แต่เวทนากาย เวทนาจิต เห็นไหม แล้วเวทนาถ้าไม่มีสติปัญญา มันโง่ นี่ซื่อเซ่อขึ้นมา มันไม่เห็นอะไรเลย มันไม่รับรู้สิ่งใดเลย จะจับเวทนาก็เจ็บปวดแสบร้อน ทำไม่ได้ เวทนาจิตมันก็ขัดข้องหมองใจ มันก็อึดอัดขัดข้อง ทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลานไปหมดเลย ถ้ามันซื่อเซ่อ

แต่ถ้ามันซื่อสัตย์สุจริต มันมีสติมีปัญญา มันมีความมุมานะ มันมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แล้วทำของเรา เห็นไหม เรารู้เราเห็นของเราขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง สิ่งที่เป็นปัจจัตตังขึ้นมา หลวงปู่เสาร์พาหลวงปู่มั่นออกธุดงค์เพื่อเหตุใด ฝึกหัดดัดแปลงขึ้นมา ถ้าไม่ฝึกหัดดัดแปลงขึ้นมา จิตมันจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน เรามีสติมีปัญญาบังคับใจเรา เรามีสติปัญญาพยายามบังคับ ถ้าเริ่มต้นต้องบังคับ ถ้าไม่บังคับนะ เด็กมันจะโตมันจะดีขึ้นมา เด็ก เห็นไหม เด็กเป็นศูนย์กลาง ปล่อยให้เด็กมันตามสบายเลย ปล่อยให้เด็กมันคิดเอง

เด็กมันคิดเองมันก็เป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ มันไม่โต เห็นไหม นี่เด็กเป็นศูนย์กลาง จิตมันเป็นศูนย์กลาง แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องฝึกหัดขึ้นมา ถ้ามันฝึกหัดขึ้นมา ถ้าจิตเป็นศูนย์กลาง ปล่อยมันเลย ตามสบายเลย มันก็จะซื่อเซ่อเลย มันอุปโลกน์ขึ้นมาเลย ธรรมะตามแต่ที่มันจะพอใจ

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เพราะการเกิดและการตายเป็นเหตุเร่งด่วนของใจดวงนี้ ถ้าการเกิดและการตายเป็นความเร่งด่วนของใจดวงนี้ มันต้องรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง มันจะสำรอกคายสิ่งใดออกไป ถ้ามันจะสำรอกคายสิ่งใดออกไปมันต้องเป็นความจริง

ถ้าความจริง จิตสงบแล้วถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม จับให้ได้ พอจับให้ได้มันเป็นขั้นเป็นตอนมานะ เป็นขั้นเป็นตอนมา ถ้าจิตสงบก็เรื่องหนึ่ง จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เพราะมันปล่อยวางเข้ามา

มันไม่สงบเพราะมันไปยึดมั่น ไม่สงบเพราะสัญชาตญาณมันเป็นแบบนั้น จิตมันต้องเสวย ถ้าจิตมันไม่เสวยสิ่งใด มันไม่แสดงตัว มันเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าจิตมันมีความคิด มันมีความฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกนึกคิด นี่เพราะว่าเรายังมีสติสัมปชัญญะอยู่ แต่ถ้าเราเผลอนะ เราเหม่อเราลอย มันไม่คิดอะไรเลย เห็นไหม มันไม่แสดงตน แล้วพอเราได้สติ เอ๊ะ! เราคิดเรื่องอะไรนี่ ทำไมเราเผลอขนาดนี้ เห็นไหม เพราะมันเผลอ ถ้าจิตมันเผลอ มันไม่เสวยอารมณ์ต่างๆ มันก็ไม่แสดงตัวของมัน แต่ถ้ามันแสดงตัวของมัน มันก็แสดงตัวโดยสัญชาตญาณของมัน แล้วเวลาเราปฏิบัติใหม่ คนปฏิบัติใหม่จะทุกข์ยากตรงนี้มาก แล้วทุกข์ยากตรงนี้ เพราะอะไร เพราะว่าหญ้าปากคอก

หญ้าปากคอกทำอะไรก็ผิด ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำอะไรมันก็ยุ่งไปหมดเลย ทำอะไรไม่ถูกสักเรื่องหนึ่งเลย แต่หญ้าปากคอก ถ้าเราฝึกฝนบ่อยๆ ฝึกฝนบ่อยๆ เข้าไป จากหญ้าปากคอกมันก็มีความชำนาญของมัน ถ้ามีความชำนาญ จำไว้ ถ้าเราตั้งสติแล้วจิตมันสงบได้อย่างไร จำสิ่งที่เราเคยทำไว้ วางอารมณ์ให้ดีๆ วางอารมณ์ให้ได้ แต่เพราะโดยพญามาร มารเป็นเจ้าวัฏจักร พอมันรู้ว่าเราเคยทำได้ วางอารมณ์มันก็เป็นสัญญา มันก็เป็นตัณหาซ้อนตัณหา อู๋ย! มันยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่เลย นี่มันยุ่งเพราะพญามารมันพลิกแพลง มันหลอกลวง มันเล่ห์เหลี่ยมของมัน เราจะวางอย่างไร นี่เวลาที่มันยุ่งยาก มันยุ่งยากอย่างนี้

มันจะยุ่งยากแค่ไหนมันก็ไม่พ้นจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรของเรา เพราะงานเราไม่เคย มันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันก็ลำบาก ดูสิ การบริหารจัดการ เห็นไหม ผู้ที่ฝึกหัดงานขึ้นมาก็พยายามฝึกหัดงานขึ้นไป พอเวลาทำขึ้นไปแล้วมันจะมีความชำนาญมากน้อยขนาดไหน แล้วเวลาเกิดวิกฤติขึ้นมาจะวิเคราะห์สิ่งนั้นถูกต้องหรือว่าวิเคราะห์สิ่งนั้นผิดพลาดไปอย่างไร มันก็ต้องเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป อยู่ที่ประสบการณ์ หัวใจของเรานี่ก็เหมือนกัน เราจะดูแลมันอย่างไร เราจะดูแลหัวใจของเราอย่างไร เราจะเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราได้อย่างไร แล้วมันจะมีสติมีปัญญามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีสติปัญญาตามความเป็นจริงนะ เห็นไหม

ถ้ามันเป็นปัญญาทางโลก ปัญญาแบบซื่อเซ่อ ปัญญามันอั้นตู้ ปัญญามันทื่อ ปัญญาแค่ให้ได้ตามปริยัติ ให้ได้ตามธรรมและวินัยข้อบัญญัตินั้นเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นปัญญาที่คมกล้านะ เพราะปัญญาที่คมกล้า สิ่งที่ถ้ามันเป็นสัญญา มันเที่ยวหยิบเที่ยวยืมมา มันจะใช้ประโยชน์ กิเลสมันหัวเราะเยาะ

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง มันเกิดในปัจจุบันนั้น มันเป็นปัญญาของเรา ถึงมันจะเหมือนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงมันจะเหมือนกับของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา แต่มันก็เป็นความจริงท่ามกลางความจริงนั้น เวลาไฟไหม้บ้านใครก็แล้วแต่ ถ้าเรามีน้ำดับ น้ำก็คือน้ำด้วยกันทั้งนั้นแหละ เวลาไฟไหม้บ้านใครนะ แล้วรถดับเพลิงมา มีแต่รถดับเพลิง ไม่มีน้ำมา เวลามันจะดับ มันออกมามีแต่ลม ไม่มีน้ำเลย นี่เพราะมันไม่ใช่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นปัญญาของคนคนนั้นไง แต่ถ้าบ้านของใครไฟไหม้ เวลารถดับเพลิงมาฉีดน้ำ น้ำดับไฟได้หมดเลย นี่น้ำมาพร้อมไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันจะเหมือนของใครให้มันเป็นปัจจุบัน ถ้าเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันคือไม่วิตกกังวล ไม่ส่งหน้าส่งหลัง ไม่มีนอกมีใน แล้วเรามีสติปัญญาของเรา ปฏิบัติของเราขึ้นไป ถ้าจิตสงบแล้วก็อยู่ในความสงบนั้น เวลามันเคลื่อนออกมา ถ้าเราต้องการความสงบมากขึ้น เราบริกรรมพุทโธต่อไป หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันก็กลับเข้ามาสู่ความสงบนั้นอีก ถ้าความสงบนั้น เราพุทโธของเราบ่อยครั้งเข้าๆ จากขณิกสมาธิ มันสงบบ่อยครั้งเข้าๆ ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีคำบริกรรมต่อเนื่องขึ้นไปมันก็เป็นอุปจารสมาธิ คำว่า “อุปจารสมาธิW มันก็ โอ้โฮ! ความสงบนี้มันก็ลึกซึ้งขึ้น มันมีบาทมีฐานมากขึ้น แล้วมันมีความรอบรู้ มีสติสัมปชัญญะ

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบอกว่า เวลาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นขึ้นมา จิตผมดับไป ๓ วัน ดับไป ๓ วัน เพราะอะไร เพราะอุปจารสมาธิมันก็ออกรับรู้ใช่ไหม ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิมันไม่รับรู้สิ่งใดๆ เลย มันดับของมันไป ๓ วัน ถ้าดับ ๓ วัน อยู่ในวัดจะเดินมาเดินไปได้อย่างไร อัปปนาสมาธิมันไม่รับรู้สิ่งใดเลย มันสักแต่ว่ารู้ มันจะเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ถ้าจิตของคนมันมีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม ถ้าจิตสงบมากน้อยขนาดไหน สมาธิมันมั่นคงขึ้นมา สมาธิมั่นคงขึ้นมา

เวลาเราเดินเหินไปไหนก็ได้ แต่จิตมันดับคือมันไม่ส่งออกไปรับรู้อารมณ์ มันเดินเหินโดยสัญชาตญาณของมัน จิตมันดับ ดับจากอารมณ์ ดับจากความคิด ดับจากความฟุ้งซ่าน แต่มีสติสัมปชัญญะในตัวมันสมบูรณ์ เห็นไหม ขณะฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นนะ จิตยังดับไปถึง ๓ วัน ๔ วัน ถ้าเวลามันกลมกล่อมขึ้นมา

เราใช้กำหนดพุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราขึ้นมา ถ้ามันจิตสงบเข้ามา มีสติรักษาของเราไป ถ้ามันสงบเข้ามา ถ้ามันออกรู้ เราก็ใช้คำบริกรรม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิต่อเนื่องกันไป จากขณิกสมาธิมันก็เป็นอุปจาระ อุปจาระมันก็สงบมากขึ้น มันก็ออกรู้ ออกรู้ เห็นไหม อุปจาระ ออกรู้

โดยธรรมชาติของมัน เวลาเราฟุ้งซ่าน จิตมันรู้รูป รส กลิ่น เสียงโดยการสัมพันธ์กัน มันก็ออกมาเป็นอารมณ์ความรู้สึก ทีนี้พอเรากำหนดพุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันปล่อย เห็นไหม มันปล่อยรูป รส กลิ่น เสียงเข้ามา มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวของมันเอง รู้ตัวของมันเองนะ เวลาจิตสงบแล้วมันออกกระทบ เห็นไหม นี่จิตเห็นจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นธรรม เวลาจิตเห็นจิตนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้ามันเห็นกาย เราฝึกหัด เราใช้ปัญญาของเรา พิจารณาแยกแยะของเรา นี่ฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นมา แล้วพอเวลาปัญญามันเกิดขึ้น ปัญญาเป็นปัญญาปัจจุบัน

ถ้าปัญญาเป็นอดีตอนาคต มันพิจารณาไปแล้วมันไม่ก้าวหน้า มันไม่ก้าวหน้าแล้วมันจืดชืด มันจืดชืด พิจารณาไปแล้วนะ มันพิจารณาอยู่ เพราะอะไร เพราะเวลาเราทำ เดี๋ยวพอจิตมันอ่อนแอลงมันก็เป็นแบบนั้น เราก็วางไว้แล้วเราก็กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิมากขึ้น พอมากขึ้น พอจิตสงบมีกำลังขึ้นมา มันพิจารณา นี่ไง ปัญญาที่แหลมคม ปัญญาที่คมกล้ามันฟาดมันฟัน นี่ปัญญาดั่งดาบเพชร ธรรมาวุธ อาวุธที่ชำระล้าง

เราจะมีอาวุธอะไรไปสู้เสือ หลวงตาท่านบอกจะไปสู้เสือมีเปล่าหรือ จิตไม่มีอะไร ไม่มีสมาธิไม่มีกำลังสิ่งใดเลย แล้วจะไปต่อสู้กับพญามาร จะไปต่อสู้กับกิเลส เข้าไปกิเลสมันก็หัวเราะเยาะ กลับไปฝึกดีๆ ก่อนแล้วค่อยมาใหม่น่า กลับไปทำสมาธิให้มั่นๆ แล้วค่อยมา อ่อนแออย่างนี้เป่าทีเดียวก็กระเด็นแล้ว นี่ไง ถ้ากำลังเราไม่พอ เวลาใช้ปัญญาไปมันเป็นอย่างนั้นแหละ

แต่ถ้าเรามีสมาธิ สมาธิเข้มข้น สมาธิเราหนักแน่นขึ้นมา เวลาใช้ปัญญาไปมันจะแหลมคม มันจะฟาดฟัน อาวุธมันจะเข้าไปต่อสู้ เห็นไหม เราจะไปสู้เสือด้วยมรรค เราจะไปสู้เสือด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เราสู้เสือ เสือคืออะไร? เสือคือมาร ลูกเสือ หลานเสือ เห็นไหม ลูกเสือมันก็เอามาหลอกเรา ทีนี้หลานของมันตัวน้อยๆ เวลาลูกเสือมา อู๋ย! ป้อนนม เลี้ยงนม นึกว่าโตแล้วมันจะไม่ทำลายเรา โตขึ้นมามันกินหมดเลย สัตว์ในบ้านมันกินสัตว์ในบ้านก่อน พอไม่มีอะไรกินมันจะกินเจ้าของ มันจะกินคนเลี้ยงมันนั่นล่ะ แต่ในปัจจุบันนี้คนเลี้ยงมันต้องหาอาหารให้มัน ป้อนมันตลอดไง ไม่ให้มันกินเราไง นี่ลูกเสือ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันรู้มันเห็นของมัน มันพิจารณาของมัน ถ้ามันมีปัญญาของมัน เพราะมีกำลัง เราสู้เสือๆ สู้กับมัน ไอ้ลูกเสือนั่นล่ะ ลูกเสือเราต้องฆ่าต้องทำลาย ถ้าไม่ฆ่าไม่ทำลาย ปล่อยไว้มันจะเป็นศัตรูกับเรา แต่ลูกเสือมันน่ารัก มันยังไม่เป็นอะไรกับเรา เราเลี้ยงดูมันไปก่อน ไอ้นี่พูดเป็นบุคลาธิษฐาน

แต่ถ้าความจริง เรื่องของสัตว์ ชีวิตเราไม่ทำให้ใครตกล่วงหรอก ชีวิตคือชีวิต แต่กิเลสล่ะ กิเลสมันก็มีชีวิต แล้วกิเลสเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับใจ เพราะมันนอนเนื่องมากับใจ แล้วไม่มีใครไปรู้ไปเห็นมันไง มันถึงพาเกิด พาแก่ พาเจ็บ พาตาย นี่มันพาเกิดพาตาย พาเกิดพาตาย สิ่งที่สำคัญที่สุดในจิตของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นหน้าที่การงานของเราก็คือการเกิดและการตาย เพราะเราเห็นโทษของการเกิดและการตาย เราถึงต้องมานั่งประพฤติปฏิบัติกัน

เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เหงื่อไหลไคลย้อยเพราะเหตุใด เพราะเห็นว่าการเกิดและการตายนี้สำคัญมาก แล้วการเกิดและการตายนี่ไปหาใคร การเกิดและการตายทางโลกเขาไปหาหมอ เขาบอกให้หมอรักษาให้หายจากการตาย มันรักษาได้ โรคชั่วคราว มันรักษาโรคชราไม่ได้ ถึงโรคชราแล้วต้องเกิดต้องตาย ตัวหมอเองก็ต้องเกิดต้องตาย ไม่มีใครพ้นจากการเกิดและการตาย ในวัฏฏะนี้ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการตาย ในเมื่อมีการเกิดมันต้องมีการดับเป็นธรรมดา ถ้าเป็นธรรมดา ถ้าจิตใจของเรามันยังไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันเห็นการเกิดขึ้นมามันก็พอใจ เวลามันดับ มันไม่พอใจ นี่เราเองเราลำเอียง หัวใจเรายังไม่เป็นธรรมเลย หัวใจเรายังลำเอียงเลย

ฉะนั้น เราต้องวางใจเราให้เป็นกลาง เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาเป็นทางสายกลาง อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค จิตใจมันตกไปสองส่วน เวลามีความสุขก็พอใจ มีความทุกข์ก็โต้แย้ง ก็ปฏิเสธ โลกเป็นแบบนี้ อยากสุข สุขตามแต่ตัวเองปรารถนา อยากมีความสุขตามแต่หัวใจที่มันต้องการ แล้วหัวใจของคนมันไม่เหมือนกัน ไม่เสมอภาคกัน

ใจของคนทำสิ่งใดดูสิ เวลาคนทำความชั่ว เขาทำความชั่วแล้วเขามีความสุขของเขา เวลาคนทำความดี คิดทำชั่วไม่ได้ ทำแต่คุณงามความดี เขาก็มีความสุขของเขา นี่ความสุข เห็นไหม นี่ไง ซื่อสัตย์สุจริตไง ซื่อสัตย์ทุจริตไง เวลาซื่อสัตย์แต่ทุจริต เพราะทำความชั่วแล้วมีความพอใจ มีความสุขของเขา แต่เวลาจิตใจที่เป็นธรรมๆ เขาจะทำคุณงามความดีของเขา

มัชฌิมาปฏิปทา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสองส่วนไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค แล้วคนทุกข์ คนชั่วมันคิดแต่ความชั่วของมัน แล้วมันมีความสุข คนดีคิดถึงความดี มีความสุข เห็นไหม ทางสองส่วนไม่ควรเสพ ทางสองส่วนไม่ควรเสพ มัชฌิมาปฏิปทา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสายกลางๆ กลางด้วยมรรคญาณ กลางด้วยดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ มรรค ๘ เห็นไหม นี่ทางสายกลาง สายกลางของใคร

ถ้าสายกลางของกิเลส สายกลางของซื่อเซ่อ มันก็บอกว่าทางสายกลางก็พร้อม สติก็มีแล้ว สมาธิก็มีแล้ว ปัญญาก็มีแล้ว นี่ปัญญาของกิเลสทั้งนั้นเลย กิเลสมันสร้างให้ กิเลสมันสร้างสิ่งต่างๆ ให้ทำครบสูตรแล้วมันบอกว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันจะไม่เป็นความจริงของใครเลย

แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ! ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นที่ท่านสั่งสอนมาก็สาธุ! ของท่าน แต่เราพยายามฝึกฝนของเราขึ้นมา พยายามทำของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา

เวลาเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบก็มีความสุขแล้ว ถ้าจิตมันออกพิจารณา โอ้โฮ! ภาวนามยปัญญามันเป็นอย่างนี้เอง ภาวนามยปัญญาออกแยกแยะในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม อ๋อ! มันปล่อยวางอย่างนี้เอง พอปล่อยวางอย่างนี้เอง พอทำบ่อยครั้งเข้า เพราะอยากได้ จิตมันก็เสื่อม จิตมันใช้แล้วสมาธิมันอ่อนแอลง ก็ล้มลุกคลุกคลานไป

เพราะครูบาอาจารย์สอนก็บอกทำเหมือนกันๆ ของครูบาอาจารย์ของเราเหมือนกันเปี๊ยะเลย เหมือนกันเปี๊ยะเลย แต่กิเลสของเราเต็มหัวใจเลย เพราะว่าสมุทัย เพราะว่าพญามารมันสอดเข้ามา ไอ้ลูกเสือมันพยายามกีดขวางเรา เราก็ล้มลุกคลุกคลานไปจนมันได้สติขึ้นมา นี่เพราะมันไม่เป็นทางสายกลางแล้ว มันตกไปส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ถ้ามันจะเป็นทางสายกลางต้องกลับมาทำความสงบของใจขึ้นมานะ

ทางสายกลางก็เป็นทาง มัคโค ทางอันเอกมันเป็นทาง มันไม่ใช่ผล ถ้าเป็นผล เพราะทางสายกลางมันเป็นการฝึกหัดใจไง ใจนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ใจนี้กลั่นออกมาจากความจริง เห็นไหม การเกิดและการตายเป็นปัญหายิ่งสำหรับใจดวงนี้ ถ้าใจดวงนี้จะกลั่นของมันด้วยอริยสัจ ด้วยสัจจะความจริง เข้ามากรอง เข้ามาสำรอก เข้ามาคายความไม่รู้ คายทิฏฐิมานะความเห็นผิดของใจ

พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันผ่อนคลายออกไป ถ้ามันคลายออก นี่ตทังคปหาน มันเริ่มปล่อย เริ่มวาง เริ่มผ่อนคลายไปเรื่อยๆ เพราะการผ่อนคลาย นี่แก่นของกิเลส พญามาร มันแก่นของมาร มันครอบคลุมหัวใจนี้ มันไม่ปล่อยให้หัวใจนี้หลุดลอยไปง่ายๆ หรอก

สิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ไป เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา ขิปปาภิญญาผู้ปฏิบัติง่าย รู้ง่าย ไอ้นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา ถ้าเราเป็นแบบเขาจริง ป่านนี้เราก็เป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้วล่ะ เพราะเราฟังธรรมกันทุกวัน หูทำไมมันไม่ได้ยิน ฟังเข้าหูแล้วหัวใจมันไม่เปิดเลย ฟังเข้าหูแล้วทำไมดวงใจมันไม่เป็นธรรมขึ้นมา ถ้าอำนาจวาสนาเราเป็นอย่างนี้ เราก็พยายามมีความเพียรชอบ เราก็พยายามมีทางสายกลาง เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราก็ไม่น้อยเนื้อต่ำใจไปกับใคร ถ้าน้อยเนื้อต่ำใจนะ มันก็เข้าทางกิเลสเลย เข้าทางพญามารเลย ฉะนั้น ถ้าเข้าทางพญามารก็ซื่อเซ่อ ซื่อโง่

ซื่อสัตย์ เราเป็นชาวพุทธ เราต้องมีสัจจะ เรามีความซื่อ เราต้องทำตามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นพุทธพจน์ เราทำสมบูรณ์แบบทุกอย่างเลย นี่ซื่อเซ่อ ไม่เฉลียวใจ ไม่เฉลียวเข้าไปหาสัจจะความจริง ไม่เฉลียวเข้าไปหามาร ไม่เฉลียวสิ่งที่ครอบงำหัวใจ ตำราก็คือตำรา ตำราคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ! แต่ความเป็นจริงมันอยู่ในหัวใจของเรา

เราซื่อสัตย์ ผู้มีสัตย์คือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ผู้มีสัจจะ ผู้มีอริยสัจ ผู้ที่มีหัวใจได้กลั่นกรอง ผู้ที่มีหัวใจได้ชำระล้าง กลั่นใจดวงนี้ออกมาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา แล้ววางข้อวัตรปฏิบัติไว้สอนเรา แล้วเรามีครูบาอาจารย์ มีข้อวัตรปฏิบัติ เหมือนกับเข้าไปถนนหนทาง มีรัฐบาล มีผู้นำที่ดีทำถนนหนทางอันราบรื่นดีงามให้กับเราได้ก้าวเดิน ให้เราได้พึ่งอาศัย นี่ครูบาอาจารย์เราท่านมีประโยชน์ตรงนั้น แต่ไอ้พวกเรามันไม่ชอบ ทางคดโค้งขึ้นเขาลงเขาลำบากนัก อยากมีทางลัด นึกอะไรถึงเลย นึกอะไรถึงเลย แล้วยังกลับไปติครูบาอาจารย์อีกนะ โอ๋ย! ทำทางทำไมทำให้มันยาวอย่างนั้นล่ะ ทำทางทำไมทางมันต้องยาว ต้องมาอ้อมน่ะ มันกลับไปติ แต่มันจะนึกเอา นี่ซื่อเซ่อ ซื่ออยู่ใต้กิเลสไง

แต่ผู้มีสัตย์ เพราะท่านมีสัจจะ ท่านทำของท่านมา ท่านถึงมีสัจจะของท่าน เพราะสัจจะอันนั้น ดูสิ เวลาปู่ ย่า ตา ยายของเราท่านจะสอนลูกสอนหลาน ไอ้เด็กเพิ่งเกิดมันไร้เดียงสา มันบอกมันฉลาดยอดเยี่ยม เป็นคนรุ่นใหม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเราสมัยโบราณ สมัยโบราณเทคโนโลยีมันยังไม่มี ท่านเลยโง่ๆ ท่านเลยไม่เข้าใจเราเลย แต่ปู่ ย่า ตา ยายเห็นแล้วสังเวชมาก สังเวชว่าไอ้ทารก ไอ้เด็กไร้เดียงสามันซื่อเซ่อ มารครอบงำหัวใจมัน เห็นไหม ปู่ ย่า ตา ยายของเราท่านใช้ชีวิตของท่านมาทั้งชีวิต ท่านเห็นมาหมด ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ตั้งแต่ท่านวัยทำงาน ตั้งแต่ท่านถึงเกษียณออกมา ท่านมาเป็นที่ปรึกษา ท่านเห็นโลกมาเยอะมาก

ฉะนั้น สิ่งที่ครูบาอาจารย์ของเราท่านปรารถนาอย่างนั้น ท่านดูแลปรารถนาอยากให้ศาสนทายาท อยากให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามันมีคุณธรรมในหัวใจแล้วไม่ต้องบอกสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะคุณธรรม อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว สัจธรรมมีหนึ่งเดียว มันจะมีความกตัญญูกตเวที มันจะระลึกถึงคุณ

เวลาหลวงตาท่านรวม พุทธ ธรรม สงฆ์ที่ดอยธรรมเจดีย์ กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า นั่นล่ะมันกตัญญูมันกตเวที มันเห็นคุณค่า คนที่มีคุณธรรมมันมีความกตัญญูกตเวที มันระลึกถึงคุณ นี่เครื่องหมายของคนดี

แม้แต่เครื่องหมายของคนดียังไม่มีในหัวใจของสัตว์โลก ถ้าเครื่องหมายของคนดีไม่มีในหัวใจของสัตว์โลก มันจะเป็นความดีไปได้อย่างใด คนที่จะมีคุณงามความดี ใจเขาดีแล้วเขาถึงเครื่องหมายของความดี นี่ไง ถ้าผู้มีสัจจะ ผู้ที่เฉลียวในความรู้สึกนึกคิดของตัว แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดเขายังมีสติรู้เท่าทั้งหมด ฉะนั้น มีสติรู้เท่าทั้งหมด ความรู้สึกนึกคิดในใจมันมีของมันอยู่แล้ว การแสดงออกเรื่องความกตัญญูกตเวทีมันเป็นเรื่องเป็นเนื้อเดียวกับใจดวงนั้น ถ้าการแสดงออกด้วยความกตัญญูกตเวทีออกมาด้วยหัวใจของเขา

แต่พวกเรา พวกซื่อเซ่อ พวกไร้เดียงสา บอกสิ่งนั้นไม่มีคุณค่า สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ ถ้าใครจะมีอำนาจวาสนามันต้องวิ่งแซงหน้าครูบาอาจารย์ไป ๕๐๐ ก้าว แล้วยังกลับมาจาบจ้วง กลับมาว่า เห็นไหม ทำทางก็ทำไว้ลำบาก ทำอะไรก็ลำบากไปหมดเลย ทำไมไม่ทำทางที่สะดวกสบายล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เพราะสัตตะผู้ข้อง เขาเกี่ยวข้องกับกิเลสของเขาเอง เขาเกี่ยวข้องกับอำนาจวาสนา กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ จิตดวงนี้เที่ยวเกิดเที่ยวตายโดยกรรม โดยเผ่าโดยพันธุ์ของเขา ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์แล้วแต่จิตดวงใดที่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาคือฟังธรรมเข้าใจ อำนาจวาสนาคือเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้วมันแทงเข้าไปที่หัวใจ มันทิ่มแทงเข้าไปที่กิเลส

ถ้ามันทิ่มแทงเข้าไปที่กิเลส เห็นไหม พันธุกรรมของจิตดวงนั้นจะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากการที่ว่าหลงใหลได้ปลื้ม ซื่อเซ่อให้มารมันครอบงำ จะมีสติมีปัญญาสร้างเนื้อสร้างตัวให้เข้มแข็งขึ้นมา ให้มีสัมมาสมาธิ เข้มแข็งขึ้นมาไม่ให้มารมันดลใจ ไม่ให้มารมันครอบงำ ไม่ให้มารมันพาเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง เห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์มันต้องมีอำนาจวาสนา รื้อสัตว์ขนสัตว์เพราะดูดวงใจ ดวงใจที่มีอำนาจวาสนา เขาจะฟังเหตุฟังผล

คนดี ทำดีได้ง่าย ทำความชั่วยาก คนชั่ว ทำความชั่วง่าย ทำความดียาก เอวัง